วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

พูดไม่ชัด






 ลูกพูดไม่ชัด


สาเหตุของการ

พูดไม่ชัด พร้อมการแก้ไข


        หากพบว่าบุตรหลาน

ของท่าน

อายุเกิน 3 ขวบครึ่งแล้ว

ยังพูดไม่ชัด

ควรส่งพบผู้เชี่ยวชาญ

เพื่อ

ขอคำแนะนำ



1. มีความผิดปกติของร่างกาย เช่น ริมฝีปากแหว่ง เพดานโหว่ มีเส้นยึดที่ปลายลิ้น ลิ้นโตคับปาก ลิ้นเล็กเกินไป รูปฟันผิดปกติ โพรงปากผิดปกติ ประสาทหูพิการ( หูตึง ) ปัญญาอ่อน สมองพิการ หรือมีความผิดปกติของระบบประสาทควบคุมอวัยวะออกเสียง


ความผิดปกติดังกล่าวสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง จะทำให้ผู้นั้นไม่สามารถพูดชัดได้ อาการผิดปกติจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ละบุคคลไป


2. ความไม่พร้อมของอวัยวะในการเปล่งเสียง ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ของร่างกาย เราจะพบได้มากในเด็กเล็กที่เริ่มหัดพูดเกือบทุกราย แต่เมื่อเขาโตขึ้น อายุมากขึ้น มีความพร้อมของการทำหน้าที่ของอวัยวะดีพอ เขาก็สามารถพูดได้ชัดเหมือนคนปกติ แต่ก็มีบางรายเหมือนกันที่โตแล้วก็ยังพูดไม่ชัด


3. การเลียนแบบผิด ๆ คือเคยได้ยินและจำเสียงพูดผิด ๆ นั้น แล้วหัดพูดตามจนเป็นความเคยชินกับเสียงนั้น เช่น การพูดตามเสียงของคนใกล้ชิด การพูดตามสำเนียงท้องถิ่น แล้วนำเสียงพูดนั้นมาใช้กับภาษากลาง หรือมีบางรายที่พูดไม่ชัดแล้ว ได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ ๆ เห็นเป็นอาการน่ารัก เด็กเลยไม่เปลี่ยนการพูดให้ถูก เพื่อเรียกร้องความสนใจต่อไป


การแก้ไขการพูดไม่ชัด


        ก่อนอื่นจะต้องมีการตรวจร่างกายเพื่อหาความผิดปกติทางร่างกายเสียก่อน ผู้ปกครองอาจจะตรวจดูด้วย ตัวของท่านเองก่อนก็ได้ เช่น ดูริมฝีปาก ดูอวัยวะภายในโพรงปาก ลิ้น ฟัน เหงือก เพดาน การดูอย่างนี้เป็นการดูเบื้องต้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็ควรจะส่งพบแพทย์ตรวจร่างกายให้ละเอียดต่อไป ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ ด้วย เช่น การตรวจการได้ยิน การตรวจระดับสติปัญญาการตรวจระบบประสาทเป็นต้น


        หากพบว่ารายใดมีความผิดปกติทางร่างกาย แพทย์จะได้แก้ไขเสียก่อน ซึ่งอาจจะต้องมีการผ่าตัดในรายที่จำเป็น หรือการพิจารณาใส่เครื่องช่วยฟังในรายที่พบว่ามีประสาทหูพิการ เป็นต้น


        เมื่อเด็กได้รับการแก้ไขสาเหตุแล้ว ใช่ว่าการพูดของเด็กจะชัดเจนขึ้นโดยทันที ผู้ปกครองจะต้องพาเด็กของท่านมาพบผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขการพูดผิดปกติ เพื่อพิจารณาวางแผนการบำบัดแก้ไข ตลอดจนการแนะนำวิธีการช่วยเหลือบางประการที่ผู้ปกครองสามารถที่จะช่วยเหลือเด็กได้ในบางกรณี


โรคลมชัก

โรคลมชัก

(Epilepsy)

โรคลมชักส่งผลต่อสมองอย่างไร

โรคลมชักเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสมองและมาพร้อมกับอาการชักซ้ำ - ชักโรคลมชัก
            ประมาณ 5-10 ใน 1,000 คนมีโรคลมชัก นี่คือโรคเรื้อรังที่พบบ่อยที่สุดของระบบประสาท ครั้งหนึ่งในชีวิต 5% ของประชากรทนทุกข์ทรมานจากโรคลมชัก
            โรคลมชักสามารถพัฒนาได้ทุกวัยแม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเด็ก ไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคได้เสมอไป แต่ในบางกรณี (โดยเฉพาะในผู้ใหญ่) การพัฒนาของอาการชักจากโรคลมชักอาจเกี่ยวข้องกับความเสียหายของสมอง ตัวอย่างเช่นโรคลมชักสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากโรคหลอดเลือดสมองเนื้องอกในสมองหรือการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง ในบางกรณีโรคนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในสมองที่สืบทอดมาจากพ่อแม่

 เซลล์สมอง (เซลล์ประสาท) 

            ส่งสัญญาณไฟฟ้าให้กันและกันโดยใช้สารเคมี - สารสื่อประสาท ในระหว่างการจับกุมเซลล์ประสาทจะสร้างแรงกระตุ้นไฟฟ้าจำนวนมากบริเวณของการกระตุ้นที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นจุดสนใจของโรคลมชักซึ่งมาพร้อมกับอาการที่ปรากฏในรูปแบบของอาการชักความอ่อนแอบกพร่องการรับรู้ของโลกรอบตัวหรือสูญเสียสติ

         บางคนมีอาการชักเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิต หากการตรวจสอบไม่พบสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงสำหรับการพัฒนาของโรคการวินิจฉัยโรคลมชักจะไม่ทำ   บ่อยครั้งที่โรคนี้ได้รับการวินิจฉัยหลังจากอาการชักหลายครั้ง      เนื่องจากอาการชักโรคลมชักเดี่ยวเป็นเรื่องธรรมดามาก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการวินิจฉัยคือคำอธิบายของการจับกุมโดยบุคคลนั้นและโดยพยานของสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการศึกษาการทำงานของสมองเพื่อค้นหาจุดโฟกัสที่เป็นไปได้ของโรคลมชักและสาเหตุที่เป็นไปได้ของโรค


การวินิจฉัยโรคลมชัก     

           
        "  ในเด็กที่มาด้วยอาการชักครั้งแรก  "    
 ยังคงให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักตั้งแต่ต้นเลยไม่ได้ 

           ดังนั้นในครั้งแรกต้องตรวจหาสาเหตุที่ทำให้ชัก เช่น เจาะเลือดเพื่อดูว่ามีความผิดปกติของ Electrolytes ระดับน้ำตาล หรือมีภาวะติดเชื้อหรือไม่ ในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อในสมองหรือเยื่อหุ้มสมองอาจต้องมีการตรวจน้ำไขสันหลังและเอกซเรย์สมองร่วมด้วย” แพทย์หญิงปริญญรัตน์กล่าว “ในกรณีที่สงสัยว่าเด็กจะเป็นโรคลมชักการซักประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด พัฒนาการ การเรียน ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติครอบครัว ร่วมกับการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจคลื่นสมอง (EEG) การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สมอง จะช่วยแยกประเภทและสาเหตุของโรคลมชักได้ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่แนวทางการรักษาโรคลมชักต่อไป และกว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชักมักไม่ปรากฏสาเหตุ”ค่ะ




อาการชัก




อาการชัก (Seizure) 


               อาการชัก ร่างกายแข็งเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ อาจสร้างความตระหนกตกใจให้กับหลายคนที่พบเห็น ซึ่งโดยมากแล้วมักจะรับมือกันไม่ถูก      โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดขึ้นกับเด็ก หลายคนที่พบเห็นต่างก็พยายามให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่แต่คุณทราบหรือไม่ว่า หลายครั้งที่ความช่วยเหลือนั้นกลับกลายเป็นอันตรายตามมาหากทำไม่ถูกวิธี Better Health ในมือคุณฉบับนี้มีเรื่องราวของโรคลมชักในเด็กมาฝาก เพื่อความเข้าใจและรับมืออย่างถูกต้อง

       
อาการชักหรือ Seizure เกิดจากความผิดปกติของการนำกระแสประสาทในสมอง ซึ่งมีผลทางร่างกาย และอาจมีผลต่อสภาวะการรู้สึกตัวร่วมด้วย”

      “ในเด็กที่มาด้วยอาการชักครั้งแรก ต้องตรวจหาสาเหตุที่ทำให้ชัก เช่น เจาะเลือดเพื่อดูว่ามีความผิดปกติของ Electrolytes ระดับน้ำตาล หรือมีภาวะติดเชื้อหรือไม่”
        สำหรับ โรคลมชัก เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นซ้ำตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป โดยที่ไม่มีสิ่งกระตุ้น (Unprovoked Seizure) กล่าวคือ ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่สบาย หรือมีไข้  




อันตรายจากการชัก



การชักบ่อยๆควรเฝ้าระวังให้มากที่สุด!

 หากใครมีโอกาสได้เห็นผู้ที่มีอาการชัก ต้องยอมรับว่าค่อนข้างน่าตกใจ
 กุมารแพทย์ด้านประสาทวิทยาอธิบายว่า “ในกรณีปกติ การชักโดยตัวมันเองแล้วมักไม่ค่อยมีอันตราย โดยอาจเกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาไม่กี่นาที ส่วนมากแล้วอันตรายที่เกิดขึ้น มักเกิดจากคนรอบข้างที่พยายามให้การช่วยเหลืออย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์จนก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บทางร่างกายตามมา”

     แพทย์จะต้องตรวจอาการจนแน่ใจแล้วว่าเป็นโรคลมชักแน่ ๆ จึงให้การรักษา โรคลมชักบางชนิดก็อาจจะไม่ต้องรักษาเพราะเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่นอาการก็จะค่อย ๆ หายไปเอง”





          อย่างไรก็ตาม แม้อาการชักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ และจบลงในเวลาไม่นาน การพาเด็กไปพบแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อว่าแพทย์จะได้คอยตรวจสอบ ให้การดูแล และป้องกันการชักซ้ำ ๆ ได้ดีขึ้นในอนาคต “แม้การชักมักจะไม่เป็นอันตรายและอาจหายได้เอง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งย่อมเกิดผลกระทบต่อตัวเด็กและพัฒนาการทางการเรียนรู้และสังคมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เด็กที่ชักบ่อย ๆ จะเริ่มถอยห่างจากเด็กที่ปกติกลายเป็นเด็กที่สติปัญญาช้า เรียนหนังสือไม่ได้ มีพฤติกรรมก้าวร้าวสมาธิสั้นและมีปัญหาการเรียนตามมาเรื่อย ๆ”

อาการชักที่เป็นอันตราย


          อาการชักที่เป็นอันตราย คือ กรณีที่อาการชักเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 30 นาที หรือการชักที่มีการสำลักร่วมด้วยและทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจ ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะทำให้สมองขาดออกซิเจนจนถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้อาการชักสั้น ๆ แต่ชักซ้ำหลายครั้งในวันเดียวก็เป็นอันตราย เนื่องจากจะทำให้อาการชักควบคุมยากขึ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวพบได้ไม่บ่อยนัก นอกจากนี้ อันตรายอื่น ๆ ได้แก่ การชักที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เด็กทำกิจกรรม เช่น ปีนป่ายที่สูง อยู่ใกล้ของมีคม มีกิจกรรมทางน้ำ หรือโดยสารยานพาหนะ เป็นต้น

      การพาเด็กมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยตั้งแต่แรก สร้างความแตกต่างในแง่พัฒนาการของเด็กเป็นอย่างมาก “การเปิดโอกาสให้เด็กชักซ้ำ ๆ นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อสมองของเด็กแล้ว ยังทำให้อาการทวีความรุนแรงขึ้นจนยากที่จะควบคุมอีกด้วย” นายแพทย์ชาครินทร์กล่าว




รักษาอาการชักในเด็ก


รักษาอาการชักในเด็กตามคำแนะนำ



       นายแพทย์ชาครินทร์กล่าวถึงการรักษาโรคลมชักในเด็กว่าในการจะเริ่มกระบวนการรักษา แพทย์จะต้องตรวจอาการจนแน่ใจแล้วว่าเป็นโรคลมชักแน่ ๆ จึงให้การรักษา โรคลมชักบางชนิดก็อาจจะไม่ต้องรักษา เพราะเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่นอาการก็จะค่อย ๆ หายไปเอง บางรายอาจชะลอการรักษาออกไปก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบรักษาตั้งแต่การชักครั้งแรก จนกว่าจะมีการประเมินอย่างละเอียด เป็นต้น”

         สำหรับกรณีที่ต้องรีบรักษาแพทย์ต้องพิจารณาต่ออีกว่าต้องรักษาด้วยยาตัวไหน เป็นเวลานานเท่าไร แพทย์จะต้องคุยกับผู้ปกครองของเด็กอย่างละเอียด ทั้งเรื่องการวินิจฉัย การรักษา และชนิดของโรคลมชัก ผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้รวมทั้งวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อเกิดอาการ “การใช้ยากันชักไม่อาจป้องกันการชักได้เต็มร้อยเพียงแต่ลดโอกาสลงเท่านั้น เราจึงพบว่าผู้ป่วยบางรายเมื่อรับยาแล้วอาจไม่มีอาการอีกเลย ขณะที่บางรายรับยาไปแล้วในขนาดเริ่มต้นก็ยังมีอาการชักอยู่ ซึ่งกรณีนี้แพทย์จะต้องมีการทบทวนและปรับยาให้เหมาะสมต่อไป”

     นอกจากยาแล้ว สิ่งที่แพทย์มักแนะนำอีกอย่างเพื่อป้องกันอาการชัก ได้แก่ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นการชักซึ่งมีหลายประการ เช่น การอดนอน อาการไข้ การได้รับยาไม่สม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ที่มีลูกเป็นโรคลมชัก ควรระวัง “ถ้าเริ่มรับยากันชักแล้ว คนไข้ต้องกลับมาพบแพทย์เป็นระยะ ๆ ทุก 2-3 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถควบคุมอาการได้ดี ไม่มีผลข้างเคียงของยา และเด็กมีพัฒนาการที่ดีไม่มีปัญหาในการเรียน” นายแพทย์ชาครินทร์กล่าว





ตั้งสะติให้ดีเมื่อลูกชัก




ตั้งสติให้ดีเมื่อลูกชัก



          แพทย์ทั้งสองท่านเน้นย้ำว่าเมื่อพ่อแม่หรือผู้ปกครองพบบุตรหลานของตนมีอาการชัก 

วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง คือตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ จับเด็กนอนราบก่อน จากนั้นตะแคงตัวเด็กไปด้านข้างเพื่อไม่ให้ลิ้นและน้ำลายไปอุดทางเดินหายใจ และเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น ที่สำคัญห้ามนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ใส่ปากผู้ป่วยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผู้ป่วยสำลักและทางเดินหายใจถูกอุดกั้น
ถ้าเด็กชักสั้น ๆ ไม่กี่นาทีแล้วหาย ทุกอย่างเป็นปกติดี อาจพาไปปรึกษาแพทย์ในวันรุ่งขึ้น หรือว่าจะค่อย ๆ มาพบแพทย์ในภายหลังก็ได้ตั้งสติให้ดี เมื่อมาพบแพทย์แล้ว ส่วนมากจะสามารถควบคุมอาการชักได้เป็นอย่างดี


อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของอาการชัก

อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของอาการชัก

      โรคลมชักอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งในผู้ที่มีสมองปกติ และผู้ที่มีความผิดปกติทางสมอง ผู้ที่มีสมองปกติ การชักอาจเกิดจากการได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่
  • ไข้สูง
  • ระดับน้ำตาลและเกลือแร่ผิดปกติ
  • การใช้ยาบางชนิด
  • การอดนอน
ส่วนผู้ที่มีความผิดปกติในสมอง ปัจจัยที่อาจเป็น

สาเหตุของการชัก

 ได้แก่
  • โรคทางพันธุกรรมที่มักมีอาการชักร่วมด้วย
  • ภาวะสมองพิการแต่กำเนิด ซึ่งเกิดตั้งแต่เมื่อทารกยังอยู่ในครรภ์ อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ การได้รับสารเสพติด การขาดอาหาร หรืออุบัติเหตุในระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น
  • การกระทบกระเทือนต่อสมองเนื่องมาจากอุบัติเหตุ หรือการขาดออกซิเจน
  • การติดเชื้อในสมอง อาทิ ฝีในสมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
  • เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งที่กระจายจากอวัยวะอื่น ๆ มาสู่สมอง

แนวทางการรับมือและป้องกันอันตรายจากการชัก


แนวทางรับมือและป้องกันอันตรายจากการชักมีดังนี้

 
  • พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ
  • ถ้าเด็กนั่งอยู่ให้จับเด็กเอนราบลงกับพื้น ตะแคงตัวไปด้านข้าง เพื่อป้องกันการสำลัก
  • พยายามนำตัวเด็กไปยังที่โล่ง ห่างไกลของมีคม เช่น มุมโต๊ะ หรือวัตถุมีคมที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ
  • คลายเสื้อผ้าที่รัด ๆ กันคนมุงออกไปห่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท
  • หากพบว่าเด็กมีไข้ ให้พยายามเช็ดตัวลดไข้
  • หากพบว่าร่างกายแข็งเกร็ง อย่าพยายามนวด ง้าง ดึง
  • ห้ามนำสิ่งของยัดใส่ปากผู้ที่มีอาการชักเด็ดขาด นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังอาจก่อให้เกิดอันตรายในช่องปากเช่นฟันหักอุดหลอดลม สำลัก อาเจียน ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต 
  • หากทำได้ ควรจับเวลา หรือถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นข้อมูลสำหรับแพทย์
  • เมื่ออาการชักจบลง อย่าละเลย ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย
  • เมื่ออาการชักนานเกิน 5 นาที หรือมีอาการชักแล้วหยุดแล้วชักอีก
  • โดยที่ยังไม่กลับมารู้สึกตัวดีในระหว่างชัก ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล


อาการชักมีหลายรูปแบบ


            อาการชักในความคิดของหลายคนอาจเห็นได้จากการที่ร่างกายแข็งเกร็ง กระตุก ตาค้าง ฯลฯ แต่อันที่จริงแล้ว การชักมีอาการแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ อาการชักแบบเหม่อนิ่ง (Absence Seizure) ก็เป็นอาการชักชนิดหนึ่งที่เกิดกับเด็กอายุระหว่าง 5-10 ปีเป็นส่วนใหญ่ และมักมาพบแพทย์ด้วยปัญหาการเรียนรู้ การเรียนตกต่ำ มีอาการเหม่อลอย เด็กเหม่อลอยเป็นพัก ๆ หรือคุยอยู่แล้วนิ่งไป ไม่ปรากฏอาการทางกล้ามเนื้อ หรือปรากฏน้อยมาก บางรายเพียงกระพริบตา หรือทำปากขยุกขยิก อยู่เช่นนี้ประมาณ 150 วินาทีก็กลับมาเป็นปกติ แล้วก็กลับมาเป็นต่อ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นหลายสิบครั้งต่อวัน คนรอบข้างต้องหมั่นสังเกต และต้องไม่ละเลยที่จะปรึกษาแพทย์

เมื่อรู้เช่นนี้แล้วอยากให้ท่านที่อ่านข้อมูลดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด 

           โดยเราสามารถดูแลและฟื้นฟู อาการของผู้ที่มีอาการชัก ให้ดีขึ้นได้ จากการทานวิตามินที่ช่วยบำรุงอาการชัก  เมื่อทานแล้ววิตามินจะเข้าไปบำรุงระบบประสาทส่วนต่างๆให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้นบำรุงเส้นประสาททั้ง 12 คู่ในร่างกายให้แข็งแรง  หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าในการเคลื่อนไหวนั้นร่างกายของเราประกอบด้วยอะไรบ้างนอกจากกระดูก และเป็นเช่นนี้เองที่ทางเราจุงขอแนะนำผลิตภัณฑ์ อาการเสริมอเลอไทด์   เมื่อทาทนแล้วจะช้วยแก้อาการเหล้านี้ได้เป็นอย่างดี  ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนบุคคลทั่วไป



ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักสามารถขับรถยนต์ได้หรือไม่?

         ตามพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2557 ฉบับที่ 164“ ในรายการข้อห้ามทางการแพทย์ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และข้อ จำกัด ทางการแพทย์ในการขับขี่” โรคลมชักเป็นข้อห้ามในการขับขี่รถยนต์